ในปัจจุบันที่บริษัทต่างๆพยายามที่จะบริหารธุรกิจเพื่อให้ได้กำไรสูงสุดนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินธุรกิจให้เกิดผลกำไรคือลูกจ้าง ซึ่งบริษัทอาจจะละเลยหรือให้ลูกจ้างทำงานหนักเกินไป ทั้งนี้ลูกจ้างบางคนอาจจะลืมหรือไม่รู้ว่ามีกฎหมายแรงงานที่คอยปกป้องสิทธิและประโยชน์ของตัวลูกจ้าง เช่น เวลาในการทำงานต่อวัน หรือ ถ้าทำงานล่วงเวลาต้องได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น และสิทธิประโยชน์อีกหลายข้อที่กฎหมายแรงงานบัญญัติขึ้นมาเพื่อไม่ให้ลูกจ้างทำงานหนักเกินไป
กฎหมายแรงงานคือ กฎหมายที่กำหนดขอบเขต ระยะเวลา วันหยุด วันลาและค่าตอบแทนในการทำงานของลูกจ้าง เพื่อให้การจ้างงานเป็นไปอย่างเหมาะสม และถ้าบริษัทหรือนายจ้างไม่ปฎิบัติตามจะมีโทษตามกฎหมาย เรามาดูกันว่ากฎหมายแรงงานที่เราต้องรู้ก่อนเริมทำงานมีอะไรบ้าง
สัญญาจ้างงานคือ สัญญาที่ลูกจ้างและนายจ้างได้ตกลงกัน ว่าลูกจ้างจะทำงานให้กับนายจ้างตามที่ตกลงกันไว้และนายจ้างจะจ่ายค่าตอบแทนให้กับลูกจ้างในจำนวนที่ได้ตกลงกันไว้ตลอดระยะเวลาที่ลูกจ้างได้ทำงานให้นายจ้าง ซึ่งสัญญาจ้างงานไม่จำเป็นต้องเป็นเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าลูกจ้างเริ่มทำงานให้นายจ้างจะถือว่าสัญญาจ้างเกิดขึ้นแล้ว
ลูกจ้างนั้นไม่ใช่เครื่องจักรที่สามารถทำงานได้ต่ออย่างเนื่อง ดังนั้นกฎหมายเลยมีกำหนดระยะเวลาการทำงานและการพักผ่อนของลูกจ้างตามนี้
*ลูกจ้างต้องมีเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวัน หลังจากทำงานไปแล้วไม่เกิน 5 ชั่วโมง)
ในโลกของการทำงานนั้นการทำงานล่วงเวลาถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งกฎหมายแรงงานได้มีกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาให้กับลูกจ้างทั้งในวันธรรมดาและวันหยุด การคำนวณค่าทำงานล่วงเวลาจะแยกคิดออกเป็นราคาของลูกจ้างรายเดือนและลูกจ้างรายวันในบทความนี้จะเน้นที่การคำนวณของลูกจ้างรายเดือน หากต้องการดูราคาค่าทำงานล่วงเวลาของลูกจ้างรายวันสามารถดูได้ที่ “วิธีคิดค่าโอทีรายวัน รายเดือน และการคิดโอทีวันหยุด”
กรณีให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาต่อจากเวลาทำงานปกติไม่น้อยกว่า 2 ชม. ต้องจัดให้ลูกจ้างพักก่อนเริ่มทำงานล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 20 นาที
ถ้าทำงานเกินเวลาปกติของวันทำงาน(ทำงานหลังเวลาเลิกงาน) จะได้รับค่าจ้างจำนวน 1.5 เท่าของค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง
ถ้าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ในเวลาปกติ 8 ชั่วโมง (ไม่รวมเวลาพัก 1 ชั่วโมง) จะได้รับค่าจ้างจำนวน 1 เท่าของค่าจ้างในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำงานในวันหยุด
ถ้าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ 9 ชั่วโมงขึ้นไป (ไม่รวมเวลาพัก 1 ชั่วโมง) จะได้รับค่าจ้างจำนวน 3 เท่าของค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง
สิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยในชีวิตการทำงานนั่นก็คือ “วันหยุด” ซึ่งวันหยุดตามกฎหมายแรงงานมีทั้งหมด 3 แบบหลักๆคือ วันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณี และวันหยุดพักผ่อนประจำปี
กฎหมายแรงงานกำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์อย่างน้อย 1 วัน โดยที่มีระยะเวลาห่างกัน 6 วัน สำหรับงานบริการที่ต้องเปิดให้บริการทุกวันสามารถเลื่อนวันหยุดประจำสัปดาห์ไปหยุดเมื่อใดก็ได้ภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์ติดต่อกัน
กฎหมายมีการกำหนดให้มีการหยุดตามประเพณีไม่ น้อยกว่า 13 วัน/ปี วันหยุดตามประเภณี เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ วันแรงงานแห่งชาติ วันวิสาขบูชา วันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น ถ้าวันหยุดตามประเพณีตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ จะต้องทำการชดเชยวันหยุดในวันทำงานถัดไป สามารถดูวันหยุดตามประเภณีได้ที่ “วันหยุดตามประเภณีปี 2567”
ลูกจ้างสามารถหยุดพักผ่อนโดยได้รับค่าตอบแทน ไม่น้อยกว่า 6 วันทำงาน/ปี (สำหรับลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี )
*ส่วนใหญ่บริษัทเอกชนจะอนุญาติให้ใช้สิทธิลาหยุดได้หลังจากลูกจ้างผ่านช่วงทดลองงาน
**หากเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออกเอง ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสม ตามที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับด้วย
นอกจากวันหยุดแล้ว ลูกจ้างยังมีสิทธิในการลางานโดยได้รับค่าตอบแทนด้วย ซึ่งสิทธิการลาตามกฎหมายแรงงานจะมี 5 อย่างหลักๆด้วยกันคือ ลาป่วย ลาคลอด ลากิจและลาเพื่อรับราชการทหาร แต่ในบทความนี้จะเน้นไปที่ลาป่วยและลากิจ
ลูกจ้างสามารถลาป่วยและได้รับค่าจ้างเป็นเวลา 30 วันทำงานต่อปี ซึ่งลาป่วย 1-2 วันไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์ แต่ถ้าลาป่วย 3 วันขึ้นไปจำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์ในการยืนยัน
ตามกฎหมายแรงงานกำหนดให้ลูกจ้างสามารถลาเพื่อไปทำธุระที่จำเป็น(ไม่สามารถรอให้ถึงวันหยุด)ได้ปีละไม่น้อยกว่า 3 วัน สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่ยังไม่ผ่านการทดลองงาน
ตัวอย่างการใช้สิทธิลากิจ
การลากิจนั้นค่อนข้างมีความยืดหยุ่นในการใช้ แนะนำให้ลองถามฝ่ายบุคคลของบริษัทที่เราทำงาน
ทั้งนี้ยังมีสิทธิการลาแบบอื่นๆ สามารถอ่านรายละเอียดสิทธิการล่าอย่าละเอียดได้ที่ “สิทธิ "การลา" ตามกฎหมายแรงงานประเทศไทย”
นอกจากมีการจ้างงานแล้วก็ต้องมีการเลิกจ้างด้วยเหมือนกัน ซึ่งการเลิกจ้างงานนี้เรียกทางกฎหมายว่า การบอกเลิกสัญญา คือการที่ลูกจ้างแจ้งลาออกหรือนายจ้างแจ้งยกเลิกการจ้างงานลูกจ้าง โดยการที่นายจ้างต้องการยกเลิกสัญญาจ้างต้องบอกลูกจ้างล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 รอบการจ่ายค่าจ้าง (เช่น นายจ้างจ่ายเงินเดือนทุก 30 วัน จะต้องบอกล่วงหน้า 30 วัน)
สามารถอ่านการเลิกจ้างอย่างละเอียดได้ที่ “บอกเลิกสํญญาจ้าง”
ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างแบบไม่มีเหตุ นายจ้างจะต้องบอกลูกจ้างล่วงหน้า และจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายดังนั้น
อ้างอิงจาก “สิทธิตามกฎหมายแรงงาน”
ที่ทุกคนได้อ่านนี้เป็นกฎหมายแรงงานเบื้องต้นที่เราได้สรุปข้อที่สำคัญๆที่ลูกจ้างต้องรู้ แต่ก็ยังมีหัวข้ออื่นๆ เช่น การจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง สิทธิลาของลูกจาง สิทธิไดรับเงินทดแทน และอื่นๆ ลูกจ้างควรศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียดเพื่อรักษาสิทธิของตัวเอง (ต้องการอ่านแบบละเอียดสามารถอ่านได้ที่ “กฎหมายแรงงาน”) สุดท้ายนี้ก่อนลูกจ้างจะเซ็นสัญญาการจ้างงาน ลูกจ้างต้องอ่านสัญญาจ้างงานอย่างละเอียดและระมัดระวังทุกครั้งก่อนเซ็นสัญญา ไม่ควรรีบเซ็นสัญญาในทันที
หักเงินพนักงานมาสายได้ไหม?
นายจ้างไม่สามารถหักเงินพนักงานเพราะมาสายได้ ยกเว้นว่าหักเพื่อ ชำระภาษีเงินได้ ชำระค่าบำรุงสหภาพแรงงาน ชำระหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นเงินสะสมตามข้อตกลง
นายจ้างสามารถต่ออายุการทดลองงานของลูกจ้างได้ไหม?
นายจ้างสามารถต่ออายุการทดลองงานได้(พรบ.คุ้มครองแรงงานไม่ได้ระบุจำนวนวันของการทดลองงาน)
ถูกเลิกจ้างเพราะไม่ผ่านการทดลองงาน เรียกร้องค่าชดเชยได้ไหม?
ถ้าลูกจ้างทำงานไม่ถึง 120 วัน และถูกเลิกจ้างจะไม่สามารถเรียกค่าชดเชยจากนายจ้างได้
เข้ามาทำงานไม่ถึงเดือนแล้วลาออก จะได้รับค่าจ้างไหม?
ได้รับค่าจ้างตามจำนวนวันที่มาทำงาน (รวมวันหยุดประจำสัปดาห์)
นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้าได้ไหม?
สามารถทำได้****ถ้าลูกจ้างขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายนายจ้างสามารถเลิกจ้างโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าได้
Copyright © 2024 Telepath. All rights reserved. | Terms | Privacy | Cookie | Acceptable use